ในปัจจุบันมีโครงการหมู่บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย ระบบการก่อสร้างแบบ Precast จึงถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองการขยายตัวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าของบ้านจึงควรรู้จักระบบ Precast เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ให้ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง
ระบบการก่อสร้างอาคารในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก ระบบ Precast หรือ ระบบชิ้นส่วนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จ ก็เป็นระบบหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในงานก่อสร้าง ระบบ Precast มักใช้กับงานอาคารที่เป็นโครงการ เช่น บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ที่มีรูปแบบอาคารเหมือนกันในจำนวนมาก ทางผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงลงทุนสร้างโรงงานเพื่อหล่อชิ้นส่วนของอาคารล่วงหน้า เมื่อถึงช่วงการก่อสร้างจึงทำการขนส่งเพื่อติดตั้งที่หน้างาน
ข้อดี หรือ จุดเด่นของระบบ Precast ที่ทำให้ผู้ประกอบการลงทุนสร้างโรงงานและอุปกรณ์สร้างชิ้นส่วน คือ ต้นทุนการก่อสร้างอาคารที่ลดลงหากเทียบจากระบบการก่อสร้างแบบปกติ เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างที่เร็วขึ้น ส่งผลให้ค่าแรงช่างถูกลง คุณภาพงานก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานเนื่องจากผลิตในโรงงาน สามารถเปิดโครงการได้รวดเร็วทันความต้องการของตลาด และยังนำระบบวิธีการไปใช้กับโครงการอื่น ๆ ต่อได้อีกด้วย
ข้อดีดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเป็นส่วนใหญ่ ในมุมกลับกัน เจ้าของบ้านหรือผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากชิ้นส่วนงานที่มีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะผลิตในโรงงาน จึงไม่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ฝีมือความชำนาญของช่าง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพงานก่อสร้าง โดยเฉพาะมาตรฐานงานคอนกรีตเสริมเหล็ก และงานที่เกี่ยวข้องกับปูนซีเมนต์ ได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น เพราะชิ้นส่วนของระบบ Precast จะผ่านการออกแบบมาให้เหมาะกับพื้นที่ของอาคารนั้น ๆ คำนึงถึงเหลี่ยมมุมของผนัง จึงไม่เสียพื้นที่ให้กับโครงสร้างเสา คาน ที่จะต้องมีหากก่อสร้างในวิธีปกติ และด้วยชิ้นส่วน Precast เป็นคอนกรีตโครงสร้างเสริมเหล็กที่ทำหน้าที่เป็นทั้งโครงสร้างอาคารและผนังอาคาร จึงทำให้มีความแข็งแรงมากกว่าหากเทียบกับผนังระบบก่อ สามารถรับแรงกระทำด้านข้างได้มากกว่าระบบการก่อสร้างทั่วไป ดังนั้นเมื่อโครงสร้างเป็นระบบ Precast จึงจำเป็นต้องกำหนดเรื่องโครงสร้างใต้ดินแต่แรก โดยวิศวกรโครงสร้าง เนื่องด้วยน้ำหนักต่อตารางเมตรของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กจะมากกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระบบผนังก่ออิฐฉาบปูนทั่วไป
เมื่อมีข้อดีก็มักมีข้อจำกัดของบ้านหรืออาคารที่ใช้ระบบการก่อสร้างแบบ Precast หากผู้บริโภคหรือเจ้าของบ้านจะทำการดัดแปลง ต่อเติม หรือปรับปรุงพื้นที่การใช้งาน สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ คอนกรีตในส่วนที่ใช้เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่หล่อมาจากโรงงาน การถ่ายเทน้ำหนักโครงสร้างอาคาร และรูปแบบรอยต่อของการติดตั้งชิ้นส่วน โดยหลักสำคัญเจ้าของบ้านต้องทราบก่อนว่าโครงสร้างบ้านหรืออาคารเป็นระบบ Precast แบบผนังรับน้ำหนัก หรือ ระบบ Precast แบบเสา - คาน แล้วมาประกอบกับชิ้นส่วนผนังที่ไม่รับน้ำหนัก หรือระบบผนังก่อปกติ เพราะระบบที่ต่างกันจะมีข้อจำกัดในการดัดแปลง ต่อเติม หรือปรับปรุงพื้นที่การใช้งานแตกต่างกันด้วย
ระบบการก่อสร้างอาคารในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก ระบบ Precast หรือ ระบบชิ้นส่วนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จ ก็เป็นระบบหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในงานก่อสร้าง ระบบ Precast มักใช้กับงานอาคารที่เป็นโครงการ เช่น บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ที่มีรูปแบบอาคารเหมือนกันในจำนวนมาก ทางผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงลงทุนสร้างโรงงานเพื่อหล่อชิ้นส่วนของอาคารล่วงหน้า เมื่อถึงช่วงการก่อสร้างจึงทำการขนส่งเพื่อติดตั้งที่หน้างาน
ข้อดี หรือ จุดเด่นของระบบ Precast ที่ทำให้ผู้ประกอบการลงทุนสร้างโรงงานและอุปกรณ์สร้างชิ้นส่วน คือ ต้นทุนการก่อสร้างอาคารที่ลดลงหากเทียบจากระบบการก่อสร้างแบบปกติ เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างที่เร็วขึ้น ส่งผลให้ค่าแรงช่างถูกลง คุณภาพงานก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานเนื่องจากผลิตในโรงงาน สามารถเปิดโครงการได้รวดเร็วทันความต้องการของตลาด และยังนำระบบวิธีการไปใช้กับโครงการอื่น ๆ ต่อได้อีกด้วย
ข้อดีดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเป็นส่วนใหญ่ ในมุมกลับกัน เจ้าของบ้านหรือผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากชิ้นส่วนงานที่มีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะผลิตในโรงงาน จึงไม่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ฝีมือความชำนาญของช่าง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพงานก่อสร้าง โดยเฉพาะมาตรฐานงานคอนกรีตเสริมเหล็ก และงานที่เกี่ยวข้องกับปูนซีเมนต์ ได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น เพราะชิ้นส่วนของระบบ Precast จะผ่านการออกแบบมาให้เหมาะกับพื้นที่ของอาคารนั้น ๆ คำนึงถึงเหลี่ยมมุมของผนัง จึงไม่เสียพื้นที่ให้กับโครงสร้างเสา คาน ที่จะต้องมีหากก่อสร้างในวิธีปกติ และด้วยชิ้นส่วน Precast เป็นคอนกรีตโครงสร้างเสริมเหล็กที่ทำหน้าที่เป็นทั้งโครงสร้างอาคารและผนังอาคาร จึงทำให้มีความแข็งแรงมากกว่าหากเทียบกับผนังระบบก่อ สามารถรับแรงกระทำด้านข้างได้มากกว่าระบบการก่อสร้างทั่วไป ดังนั้นเมื่อโครงสร้างเป็นระบบ Precast จึงจำเป็นต้องกำหนดเรื่องโครงสร้างใต้ดินแต่แรก โดยวิศวกรโครงสร้าง เนื่องด้วยน้ำหนักต่อตารางเมตรของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กจะมากกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระบบผนังก่ออิฐฉาบปูนทั่วไป
เมื่อมีข้อดีก็มักมีข้อจำกัดของบ้านหรืออาคารที่ใช้ระบบการก่อสร้างแบบ Precast หากผู้บริโภคหรือเจ้าของบ้านจะทำการดัดแปลง ต่อเติม หรือปรับปรุงพื้นที่การใช้งาน สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ คอนกรีตในส่วนที่ใช้เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่หล่อมาจากโรงงาน การถ่ายเทน้ำหนักโครงสร้างอาคาร และรูปแบบรอยต่อของการติดตั้งชิ้นส่วน โดยหลักสำคัญเจ้าของบ้านต้องทราบก่อนว่าโครงสร้างบ้านหรืออาคารเป็นระบบ Precast แบบผนังรับน้ำหนัก หรือ ระบบ Precast แบบเสา - คาน แล้วมาประกอบกับชิ้นส่วนผนังที่ไม่รับน้ำหนัก หรือระบบผนังก่อปกติ เพราะระบบที่ต่างกันจะมีข้อจำกัดในการดัดแปลง ต่อเติม หรือปรับปรุงพื้นที่การใช้งานแตกต่างกันด้วย
วิธีที่จะทราบได้ว่าโครงสร้างบ้านหรืออาคารที่อาศัยอยู่เป็นโครงสร้างระบบใด ง่ายที่สุดคือ สอบถามวิศวกรโครงการควบคู่ไปกับการดูแบบก่อสร้างหากมี และสามารถตรวจสอบได้โดยสำรวจหน้างาน ว่ามีแนวของเสาหรือคานที่รับน้ำหนักหรือไม่ หากมีเฉพาะผนังที่เป็นผนังคอนกรีตหล่อ ไม่ปรากฎเสาคานโครงสร้าง สมมติฐานเบื้องต้นได้ว่าเป็นโครงสร้างระบบ Precast แบบผนังรับน้ำหนัก แต่อย่างไรก็ตามให้ตรวจสอบร่วมกับวิศวกรอีกครั้ง
หากผนัง Precast เป็นผนังคอนกรีตที่ออกแบบเพื่อทดแทนผนังก่อ ไม่ได้มีส่วนในการรับแรงทางโครงสร้าง ก็สามารถรื้อ ทุบ สกัดได้ แต่ให้อยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเพื่อไม่ให้ไปกระทบกระเทือนส่วนอื่น โดยเฉพาะกับเสา คาน ที่เป็นโครงสร้างหลักของอาคาร แต่หากผนังเป็นโครงสร้าง Precast แบบรับแรง หากต้องการ รื้อ ทุบ เจาะ สกัด จะมีข้อจำกัดที่จะมีผลต่อโครงสร้าง ต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรผู้ออกแบบของโครงการนั้น ๆ ว่าจุดใดที่สามารถทำได้ ร่วมกับเทคนิคการเจาะที่ต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษสำหรับ X-Ray โครงสร้างของแผ่นผนัง เพื่อไม่ให้การดัดแปลงนั้นโดนตำแหน่งเหล็กเสริมที่สำคัญ
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญอีกเรื่อง คือ เรื่องของรอยต่อชิ้นส่วนของระบบ Pre-Cast ที่ขึ้นอยู่แต่ละเทคนิคของผู้ประกอบการว่าจะให้มีรายละเอียดการเชื่อมต่ออย่างไร โดยทั่วไปจะให้ความสำคัญอยู่ 3 เรื่อง คือ เรื่องของความแข็งแรง เรื่องความเรียบร้อยสวยงาม และเรื่องของการบำรุงรักษา ลักษณะรอยต่อของแผ่น Precast ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณรอยต่อผนังกับผนังในแนวดิ่ง ผนังชิ้นบนกับผนังชิ้นล่างในแนวนอน และผนังกับพื้น ซึ่งรอยต่อดังกล่าวมักถูกออกแบบให้ป้องกันการรั่วซึมของน้ำ และอากาศ
โดยอาศัยการออกแบบให้รอยต่อของชิ้นงานวางขบกันในลักษณะบังใบ แล้วยาแนวด้วยกาว PU (กาวโพลียูรีเทน)
หรืออีกประเภทหนึ่ง คือ เว้นรอยต่อไว้เป็นโพรง แล้วเสริมเหล็กเส้น กรอกปูน Non-Shrink (ปูนที่มีคุณสมบัติยึดเกาะดี ไม่หดตัว) แล้วจึงยาแนวด้วยกาว PU สามารถใช้วัสดุตกแต่งมาปิดทับรอยต่อ เพื่อปกป้องให้รอยต่อนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น เช่น บัวประดับ เป็นต้น หรือติดวัสดุที่ช่วยเบรครอยต่อเพื่อป้องกันการแตกร้าวหรือเสื่อมสภาพในภายหลังด้วยคิ้ว บัว โลหะ หรือ PVC ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก หากต้องทำการซ่อมแซมรอยต่อ ก็สามารถทำได้โดยการลอกวัสดุที่ใช้ยาแนวเดิมออก แล้วทำการยาแนวใหม่
สำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อโครงการบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast สิ่งที่เจ้าของบ้านควรพิจารณา คือ ประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในเรื่องระบบ Precast ของโครงการนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตของโรงงาน การตรวจสอบคุณภาพ ความใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงมีการวางแผนเผื่อในเรื่องของการต่อเติม ดัดแปลง หรือติดตั้งงานระบบ ของเจ้าของบ้านเองตั้งแต่เริ่ม เมื่อวัสดุและการติดตั้งมีคุณภาพ ประกอบกับการเลือกใช้ระบบที่ตรงกับความต้องการ และประโยชน์ใช้สอยทั้งในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การก่อสร้างแบบ Precast ก็จะเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของบ้านได้มากเช่นกัน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก
ภาพ :
- http://www.ponmaker.com/editor.php?id=4
- http://renovate.in.th/contents/09152525.html
ภาพ :
- http://www.ponmaker.com/editor.php?id=4
- http://renovate.in.th/contents/09152525.html