คือปรากฏการณ์หลังจากเทคอนกรีตลงในแบบหล่อและทำ การอัดแน่นหรือจี้เขย่าไปเรียบร้อยแล้วจะพบว่ามีน้ำ ภายในคอนกรีตลอยขึ้นมาอยู่ที่ผิวหน้าด้านบนของคอนกรีต จะเห็นชัดเจนมากที่สุดคือการเทพื้นคอนกรีต กระบวนการนี้จะเกิดหลังจากเทคอนกรีตเสร็จจนถึงคอนกรีตเริ่มแข็งตัว (Initial Set)ปริมาณการเยิ้มน้ำ สูงบ่งบอกถึงคอนกรีตที่เทนั้นมีการผสมน้ำ มากเกินไป (รูปที่ 1)
ความสำ คัญของการเยิ้มน้ำ (Significance ofBleeding)
Bleeding (การเยิ้มน้ำ ) มีกลไกการเกิดมาจากการทรุดตัวลงของส่วนผสมที่เป็นของแข็ง (ซีเมนต์และมวลรวม) ส่งผลให้น้ำ ที่หล่อลื่นอยู่รอบๆ และตามช่องว่างระหว่างอนุภาคของซีเมนต์และมวลรวมถูกดันให้ขึ้นมาอยู่ผิวหน้าด้านบนเนื่องจากในส่วนผสมคอนกรีตทั้งหมด น้ำจะมีหน่วยน้ำ หนักน้อยที่สุด ปริมาณการเยิ้มน้ำ ที่ผิวหน้าคอนกรีตสำ หรับงานพื้นมากสุดไม่ควรเกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้ว Bleeding หรือการเยิ้มน้ำ ของคอนกรีตที่ผิวมีส่วนช่วยอย่างมากในการควบคุมการแตกร้าวที่ผิวได้เพราะถ้าอัตราการระเหยของน้ำ ที่ผิวคอนกรีตอันเนื่องมาจากอุณหภูมิอากาศที่สูง มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำหรือมีลมแรง ส่งผลให้คอนกรีตสูญเสียน้ำ ที่ผิวไปอย่างรวดเร็วจนผิวหน้าแห้งก่อนที่คอนกรีตจะแข็งตัว (InitialSet) จะเกิดการแตกร้าวแบบ Plastic ShrinkageCracking (รูปที่ 2 , 3) ได้ง่าย และแน่นอนที่สุดจะทำ ให้ขั้นตอนการขัดแต่งผิวหน้า (Surface Finishing) ทำ ได้ยากจนบ่อยครั้งช่างหน้างานจะใช้น้ำ สาดหรือพรมเพื่อให้ขัดแต่งผิวหน้าได้ง่ายขึ้นจนมีปัญหาสีผิวไม่สม่ำ เสมอหรือผิวหน้ามีความแข็งแรงต่ำ สุดท้ายคือผิวหน้าไม่แกร่ง ทนการขัดสีไม่ได้ต้องมีการซ่อมแซมในภายหลัง
ความสำ คัญของการเยิ้มน้ำ (Significance ofBleeding)
Bleeding (การเยิ้มน้ำ ) มีกลไกการเกิดมาจากการทรุดตัวลงของส่วนผสมที่เป็นของแข็ง (ซีเมนต์และมวลรวม) ส่งผลให้น้ำ ที่หล่อลื่นอยู่รอบๆ และตามช่องว่างระหว่างอนุภาคของซีเมนต์และมวลรวมถูกดันให้ขึ้นมาอยู่ผิวหน้าด้านบนเนื่องจากในส่วนผสมคอนกรีตทั้งหมด น้ำจะมีหน่วยน้ำ หนักน้อยที่สุด ปริมาณการเยิ้มน้ำ ที่ผิวหน้าคอนกรีตสำ หรับงานพื้นมากสุดไม่ควรเกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้ว Bleeding หรือการเยิ้มน้ำ ของคอนกรีตที่ผิวมีส่วนช่วยอย่างมากในการควบคุมการแตกร้าวที่ผิวได้เพราะถ้าอัตราการระเหยของน้ำ ที่ผิวคอนกรีตอันเนื่องมาจากอุณหภูมิอากาศที่สูง มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำหรือมีลมแรง ส่งผลให้คอนกรีตสูญเสียน้ำ ที่ผิวไปอย่างรวดเร็วจนผิวหน้าแห้งก่อนที่คอนกรีตจะแข็งตัว (InitialSet) จะเกิดการแตกร้าวแบบ Plastic ShrinkageCracking (รูปที่ 2 , 3) ได้ง่าย และแน่นอนที่สุดจะทำ ให้ขั้นตอนการขัดแต่งผิวหน้า (Surface Finishing) ทำ ได้ยากจนบ่อยครั้งช่างหน้างานจะใช้น้ำ สาดหรือพรมเพื่อให้ขัดแต่งผิวหน้าได้ง่ายขึ้นจนมีปัญหาสีผิวไม่สม่ำ เสมอหรือผิวหน้ามีความแข็งแรงต่ำ สุดท้ายคือผิวหน้าไม่แกร่ง ทนการขัดสีไม่ได้ต้องมีการซ่อมแซมในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม Bleeding (การเยิ้มน้ำ ) ในปริมาณที่สูงนั้นส่งผลกระทบทำ ให้การรับกำ ลังอัดของคอนกรีตลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่การต้านทานการขัดสีที่ผิวของคอนกรีตเนื่องจากน้ำ ที่เยิ้มขึ้นมา จะนำ พาวัตถุที่มีอนุภาคขนาดเล็กของปูนซีเมนต์และมวลรวมซึ่งหมายถึงฝุ่นของ หิน-ทรายรวมอยู่ด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้จะจับตัวรวมกันเป็นแผ่นบางๆเรียกว่า Laitance ที่ผิวของคอนกรีต ซึ่งหลุดร่อนและเป็นฝุ่นได้ง่ายเมื่อมีการขัดสี(รูปที่ 4)
คอนกรีตที่มีการเยิ้มน้ำ ในปริมาณสูงเกินไปจะส่งผลกระทบให้ขั้นตอนการขัดแต่งผิวหน้าล่าช้ากว่าปกติเนื่องจากการขัดแต่งผิวหน้าคอนกรีตต้องรอให้น้ำ ที่เยิ้มบนผิวระเหยหมดไปก่อนจึงจะลงมือได้และถ้าขัดแต่งผิวหน้าคอนกรีตในขณะที่คอนกรีตยังไม่หยุดการเยิ้มน้ำ เท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้น้ำ ขึ้นมาที่ผิวได้เพราะการขัดแต่งผิวหน้าคือการทำ ให้ผิวหน้าคอนกรีตมีความหนาแน่นสูง ส่วนใหญ่แล้วชั้นผิวหน้านี้จะมีความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตรฉะนั้นเมื่อน้ำ ไม่สามารถขึ้นมาที่ผิวได้ก็จะถูกกักไว้ใต้ผิวเมื่อคอนกรีตแข็งตัวก็จะกลายเป็นช่องว่างอยู่ใต้พื้นผิวหรือมวลรวมขนาดใหญ่รวมถึงที่ด้านท้องของเหล็กเสริมด้วย(รูปที่ 5) หลังจากนั้นก็จะเกิดการหลุดร่อนได้(Delaminatingand Blisters) (รูปที่ 6)